จากเทศกาลน้ำแข็งสู่เแดนเกาหลีเหนือ

จาก เทศกาลน้ำแข็งฮาร์บิน
สู่ เขตแดนเกาหลีเหนือ
บทความโดย Pondkung





ถามว่าอากาศหนาวขนาดนั้นผู้คนเขาจะอยู่ได้ยังไง ออกไปข้างนอกไม่หนาวตายเหรอ จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไรมากมาย บ้านในแถบเหนือสร้างไว้หนา หน้าต่่างติดกระจก 2 ชั้นกันหนาวสุดๆ แถมภายในมีฮีตเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสุดๆ ประมาณว่าเข้ามาข้างในแล้วสักประเดี๋ยวก็ลอกคราบออกเป็นชั้นๆ ทีเดียว เพื่อนคนจีนเล่าให้ฟังว่า่ ในสมัยก่อนเมื่อเข้าฤดูหนาวแต่ละบ้านจะทานผักผลไม้ที่ถนอมไว้ เน้นทานเนื้อสัตว์มากหน่อย ส่วนผักสดแทบไม่ต้องพูดถึง เพราะตะกุยลงไปไม่ถึงพื้นดินข้างล่าง แต่สมัยนี้การคมนาคมดี ผักผลไม้สามารถส่งขึ้นมาได้จากทางใต้ ทำให้มีผักผลไม้สดทานตลอด มีอยู่มื้อนึงสั่งผักกาดขาวมาทาน ผักมันก็สมชื่อ ขาวจนไม่มีสีเขียว กินไปบ่นไปจนเพื่อนรำคาญบอกมีให้กินก็ดีแล้ว แป๋ว... เป็นซะงั้น

กลับมาการเดินทางของเรากันต่อ หลังจากคืนที่หลับเหมือนตาย ตื่นเช้ามาจะดื่มน้ำ น้ำในขวดกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว แย่! ดันลืมวางไว้ข้างหน้าต่างซะได้ ถามเคาน์เตอร์ด้านหน้าเขาบอกว่าเมื่อคืนอุณหภูมิต่ำสุดลบ 28 องศา ไม่อยากจะคิดเลยถ้าหากต้องนอนข้างนอก จำได้เพื่อนบอกว่าสมัยก่อนไม่มีตู้เย็นหรอก โยนเนื้อมันไปข้างนอกแหละ เดี๋ยวก็กลายเป็นน้ำแข็งกินได้หลายเดือน เหอเหอ เตรียมตัวเสร็จได้เวลาออกเดินทางไปจี๋หลินแล้ว จี๋หลินเป็นทั้งชื่อเมืองและมณฑลหนึ่งในสามมณฑลภาคอีสานของจีน ในอดีตเคยเป็นรัฐหุ่นเชิดที่ญี่ปุ่นจัดตั้งขึ้นมา ภายหลังเจริญรุ่งเรืองด้วยอุตสาหกรรมเครื่องหนังตามนโยบายฟื้นภาคอีสา่นของรัฐบาลกลาง ด้วยอาณาเขตที่ติดต่อกับเกาหลีเหนือทำให้ประชากรจำนวนมากมีเชื้อสายเกาหลี วัฒนธรรมก็มีความหลากหลายเช่นกัน

ระยะทางจากฮาร์บินไปเมืองจี๋หลินใช้เวลาราว 5 ชั่วโมง รถราที่วิ่งไปมาส่วนใหญ่้เป็นรถบรรทุกขนาดใหญ่ทั้งนั้น เมืองจี๋หลินในแง่ของการท่องเที่ยวมีชื่อเสียงในเรื่องทัศนียภาพของน้ำแข็งที่มาจับตามกิ่งต้นไม้ซึ่งสวยงามมาก

ปรากฏการณ์นี้เกิดจากน้ำร้อนที่ปล่อยมาจากโรงงานผลิตไฟฟ้ามากระทบกับอากาศที่หนาวจัด ทำให้ไอน้ำระเหยมาจับกับต้นไม้ริมตลิ่ง ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้มีตลอด ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศที่เหมาะสม มิ้อเย็นวันนั้นฉลองด้วยอาหารเกาหลีมื้อใหญ่ ข้าวยำ หมี่เย็น หมูย่างและที่ขาดไม่ได้ กิมจินั่นเอง ปริมาณ 5 คนกินอิ่มแต่มีกันแค่ 2 คน อิ่มแทบลุกไม่ขึ้นหลังจากจ่ายค่าเสียหายไปไม่ถึง 500 บาท ถูกมากๆๆ



เราไม่ได้อ้อยอิ่งในจี๋หลินนานนัก เพราะยังมีไฮไลท์ที่สำคัญของทริปนี้รออยู่ นั่นคือ ภูเขาชื่อดัง
ฉางไป๋ซาน
หรืออีกชื่อหนึ่งคือ เพ็กตูซาน ในภาษาเกาหลี โดยตั้งอยู่ระหว่างพรมแดนจีนและเกาหลีเหนือ มีความสูง 2,774 เมตร มีคำบอกเล่าจากชาวเกาหลีเหนือว่า ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ของเขา คิมอิลซุง เกิดจากที่นี่ ภูเขาฉางไป๋ซานจึงมีความสำคัญต่อคนเกาหลีเหนือเป็นอย่างยิ่ง ภูเขาฉางไป๋ซานเป็นภูเขาไฟที่มีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่บนยอด ลึกถึง 800 กว่าเมตร แถมยังมีเรื่องเล่าเป็นตำนานของสัตว์ประหลาด คล้ายของที่ล็อคเนสประเทศสก๊อตแลนด์อาศัยอยู่อีก ยิ่งทำให้เพิ่มความขลังของภูเขาแห่งนี้

ภูเขาฉางไป๋ซานสามารถเที่ยวได้ทุกฤดู นักท่องเที่ยวส่วนมากเดินทางมาในฤดูร้อนซึ่งการคมนาคมจะสะดวกกว่ามาก วิวทิวทัศน์จะเป็นสีเขียวสด หากมาในฤดูหนาวการคมนาคมก็จะมีปัญหาขลุกขลักบ้าง ถ้าหิมะตกหนาก็ต้องรอเคลียร์ทาง แถมถนนหนทางยังลื่น นักท่องเที่ยวจึงมาน้อยในช่วงนี้ โรงแรมที่พักในแถบนี้ต้อนรับด้วยราคาลดกระหน่ำวินเทอร์เซล ห้องกว้างแบบนอนได้ 10 คนในราคาแค่ 500 บาท

ต้องออกตัวบอกก่อนเลย ว่าการมาเที่ยวภูเขาฉางไป๋ซานไม่ได้ถูก ทั้งค่าเดินทาง ค่าเข้าชมสถานที่และค่าจิปาถะอื่นอาจเหยียบหลักหมื่นได้ เมื่อเข้ามาในภูเขาฉางไป๋ซานแล้ว ต้องใช้บริการ (ผูกขาด) ของทางอุทยาน วิ่งรอบสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ คือ สถานีรถขึ้นยอดเขา น้ำตกฉางไป๋ซาน ป่าใต้ดินและบ่อน้ำร้อน ผู้เขียนเลือกไปสถานียอดเขาก่อน เพื่อไปเปลี่ยนเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อ รถขับได้ช้ามากเพราะถนนแคบและคดเคี้ยว ลัดเลาะตัดป่าสน เมื่อขับสูงขึ้นไป ทิวทัศน์สองข้างทางก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จากป่าสนกลายเป็นป่าต้นไม้พุ่ม จนกลายเป็นแบบทุนดรา ไร้ต้นไม้โดยสิ้นเชิง (ไม่ได้พูดเอง หนังสือบอกมาจริงๆ) วิ่งมาสักครึ่งชั่วโมงก็ถึงยอดเขา



แค่พอก้าวขาออกจากรถปุ๊บ ลมเยือกแข็งก็ตีเข้าแสกหน้าปั๊บ ลมแรงดีไม่มีตก พับผ่าสิ! แทบก้าวขาไม่ออก ตาเหลือบไปมองเทอร์โมมิเตอร์ในรถ โอ้พระเจ้า! ลบ 30 องศา ออกจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยเจอหนาวแบบนี้ ต้องใช้ผ้าพันคอพันปิดปาก ใส่ฮู้ดและสวมถุงมือ 2 ชั้นยังเอาไ่ม่อยู่ แล้วเดินด้วยความเร็วมด ไปดูทะเลสาบชื่อเก๋ว่า ทะเลสาบสวรรค์ ทะเลสาบนี้ตั้งอยู่บนยอดภูเขาฉางไป๋ซาน ดินแดนจีนราวสองในสามและของเกาหลีเหนืออีกหนึ่งในสาม ดังนั้น การเดินออกนอกเส้นทางที่ทำเครื่องหมายไว้จึงอันตรายมาก (ถ้าท่านไม่อยากถูกยิงไส้แตกหรือถูกจับไปฝั่งนู้น)

เชื่อไหม ว่าอยู่ข้างนอกได้ไม่เกิน 20 นาทีตัวเกือบเป็นน้ำแข็ง ต้องรีบจ้ำอ้าวไปเอาไออุ่นฮีตเตอร์ร้านขายของ แต่ขอโทษ ไม่ซื้อหรอกนะ งกอ่ะ ลงมาจากเขาก็มืดแล้วเพราะที่นี่หน้าหนาวมืดเร็วมาก เข้าโรงแรมเปิดฮีตเตอร์สุดแรงเกิด แล้วหลับไปเลยด้วยความไวแสง พรุ่งนี้ต้องนั่งเครื่องกลับกวางเจาแล้วสินะ คิดถึงข้าวปลาอาหารของทางใต้หลายๆ

วันต่อมารีบไปสนามบินแต่หัววัน สังเกตเห็นป้ายสองข้างทางเขียนทั้งภาษาจีนและภาษาเกาหลี คนขับรถบอกว่าในเหยียนเปียน เขตปกครองตนเองชนชาติเกาหลีเหนือ มีประชากรเกาหลีอาศัยอยู่มากราวครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ส่วนมากไปขุดทองทำงานในเกาหลีใต้ พอได้เงินก็กลับมาใช้ในเหยียนเปียน ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ค่าครองชีพไม่แพ้เมืองใหญ่เลยทีเดียว

และแล้วแท็กซี่ก็มาส่งเราถึงสนามบิน คงต้องถึงเวลาอำลาและจบทริปนี้เสียที ต้องขอตัวไปหยอดกระปุกสะสมงบเที่ยวงวดหน้า
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>> ลักษณะโปรแกรมกรุ๊ปทัวร์ที่เดินทางออกจากประเทศไทย จะเป็นประมาณนี้ เซี่ยงไฮ้-ฮาร์บิ้น-ฉางชุน-จี๋หลิน-เสิ่นหยาง แบบ 6 วัน 5 คืน ราคาประมาณ 39,000 - 45,000 บาท

4 ของดีในไท่หยวนกับทะเลสาบอินเทรนด์ในปักกิ่ง

1 วัน กับ 4 ของดี ใน ไท่หยวน
+ 1 ทะเลสาบ อินเทรนด์ในปักกิ่ง
บทความโดย Pondkung

ถึงวันที่จะต้องอำลาซานซีสักที วันนี้จึงตีรถกลับไท่หยวน เพื่อขึ้นเครื่องบินไปปักกิ่ง ระหว่างการเดินทางที่ไท่หยวน ถนนหนทางคดเคี้ยวและฝุ่นดินแดงฟุ้งกระจาย สมาชิกคนหนึ่งเหลือบไปเจอป้ายบอกทางไปวัดซึ่งอยู่ไม่ไกล เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อการเดินทางอันสุดอึดของพวกเรา จึงตกลงใจว่าจะเลี้ยวรถเข้าไปแวะขอพรที่วัดแห่งนี้ พอรถจอดสนิทที่หน้่าวัด มองเข้าไปไม่น่าเชื่อเลยว่า ในเขากันดารแบบนี้ยังมีคนอุตส่าห์มาสร้างวัดไว้ซะใหญ่โต


"วัดจิ้นฉือ" วัดสวย มีของดีให้ชม

วัดนี้มีชื่อว่า "วัดจิ้นฉือ" สร้างมานมนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก ราวๆ ศตวรรษที่ 11 ก่อนคริสตกาล ตามประวัติเล่าไว้ว่า กษัตริย์ในสมัยนั้นมีพระราชโองการให้ พระเชษฐาหยู มาปกครองแคว้นอันกันดารนี้ เนื่องจากความเป็นนักพัฒนาของพระเชษฐาหยู ทำให้ดินแดนแห่งนี้มีความเจริญก้าวหน้า ชาวบ้านจึงร่วมกันสร้างอารามแห่งนี้ไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความดี ภายในประกอบด้วยหมู่ศาลาน้อยใหญ่มากมายกระจายทั่วไป

ศาลาที่ใหญ่และสวยงามที่สุด เป็นศาลาที่อุทิศให้กับเจ้าแม่เซิงหมู่ หน้าศาลามีสะพานที่งดงาม เรียกว่า สะพานบิน ซึ่งถ้ามองจากด้านหน้า ดูเหมือนว่าสะพานลอยอยู่ (จริงๆ)

ว่ากันว่าวัดนี้มีของดีอยู่ 3 อย่างที่ไม่ควรพลาด อย่างที่ 1 คือ น้ำพุอายุวัฒนะที่ดื่มแล้วไม่มีวันแก่ ตามประวัติบอกถึงความมหัศจรรย์ของน้ำพุนี้ว่า เป็นน้ำพุที่ไม่เคยแห้งแม้ว่าจะแล้งแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเราก็ไม่ได้ลองดื่มกันเพราะห่วงชีวิตตัวเอง เนื่องจากมณฑลนี้น้ำใต้ดินมีระดับตะกั่วปนเปื้อนอยู่ในระดับที่สูงทีเดียว เพื่อความสะดวก ทางวัดยังขายน้ำพุเป็นขวดอีกต่างหาก...เอ๊ะ ไอเดียคุ้นๆ เหมือนน้ำมนต์เมืองไทยที่มีเกลื่อนตามวัดชื่อดัง

ของดีอย่างที่ 2 คือ หญิงชาววัง ไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริงแต่อย่างใด เป็นรูปปั้นสมัยราชวงศ์ซ่งที่มีสีสันสวยงาม หลากหลายอิริยาบถ บ้างก็เล่นเครื่องดนตรี ร่ายรำหรือโพสท์ท่าสวย จะว่าไปคนจีนสมัยก่อนก็มีภาพผู้หญิงในอุดมคติแบบเนื้อนมไข่เหมือนกัน เพราะรูปปั้นแต่ละตัวนี่อวบอึ๋มดีจริงๆ

ส่วนของดีอย่าง 3 คือ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อว่าปลูกขึ้นสมัยราชวงศ์โจว ยังมีอีกอย่างที่น่าจะนับเป็นของดีอย่างที่ 4 คือ มนุษย์ทองคำ (เหล็ก) ที่แสดงท่วงท่ารำมวยหลายตนด้วยกัน น่าจะนำไปแข่งกับอรหันต์ทองคำวัดเส้าหลินคงจะสนุกดี

นอกจากได้ขอพรแล้ว พวกเรายังได้มาเห็นชีวิตผู้คนแถวนี้ที่ส่วนมากมีอาชีพเกษตรกรรม พืชที่ปลูกส่วนมากจะเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กที่ทนต่อสภาพแห้งแล้ง เพราะบริเวณนี้แห้งแล้งมาก และลมที่พัดแรงได้พัดเอาหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ไปจนทำให้ดินเป็นสีเหลือง จึงหาต้นไม้ยืนต้นสูงๆ ยาก ทำให้บ้านแถวนี้มีลักษณะเป็นถ้ำ โดยชาวบ้านจะเจาะเข้าไปในภูเขาแทนที่จะใช้ไม้สร้าง แถมยังบอกด้วยว่าหน้าหนาวแบบนี้ภายในนั้นอุ่นมาก ขณะที่หน้าร้อนก็เย็นสบาย ไม่ต้องพึ่งแอร์

ทะเลสาบอินเทรนด์ที่โฮ่วไห่

เราเดินทางต่อไปปักกิ่งโดยสายการบินไหหลำ ซึ่งใช้เวลาสั้นๆ แค่ 50 นาที แอบดีใจเล็กๆ ที่ได้มาเห็นความเจริญบ้าง แถมอากาศที่นี่ก็อุ่นกว่าที่ซานซี หิมะก็ไม่ตก เด็กๆ แค่ลบ 8 องศาเซลเซียสเท่านั้นเอง (แต่ข้างในไม่รู้แอบใส่เสื้อมากี่ชั้น) ได้ยินมาว่าช่วงปีหลังนี้อากาศอุ่นขึ้น หิมะตกน้อยลงมาก สาเหตุคงมาจากปรากฏการณ์โลกร้อนนั่นเอง ช่วยไม่ได้ที่ใช้พลังงานมากและก่อมลภาวะเยอะเอง จนลมพัดมลพิษเป็นเมฆสีแดงไปถึงอเมริกาให้ตื่นเต้นเล่น

กิตติศัพท์ของสถานที่เที่ยวกลางคืนของปักกิ่ง ทำให้วิญญาณนกฮูกเข้าสิงบรรดาสมาชิกทุกคน หากใครบอกว่ามาปักกิ่งต้องไปเที่ยวกลางคืนที่ย่านซานหลี่ถุน หรือที่รู้จักกันดีว่า ย่านสถานทูต ถึงจะอินเทรนด์ ก็ขอบอกเลยว่า สุดจะเอ้าท์

ตอนนี้เขาไปเที่ยวที่ทะเลสาบโฮ่วไห่กันแล้ว ใครที่เรียนมาทางด้านอสังหาริมทรัพย์อยากให้มาชมที่นี่มาก เมื่อก่อนนี้ที่นี่เป็นสวนสาธารณะเงียบๆ ด้านหลังวังต้องห้าม ติดกับย่านชุมชนเก่าหูท่ง แต่ตอนนี้ได้รับการพัฒนาให้เป็นที่เที่ยวยามราตรี ที่เรียงรายไปด้วยร้านขายของศิลปะเก๋ๆ ร้านอาหารหรูๆ และผับที่จัดได้
ฮิปมาก

ในการเดินชม สามารถเดินไปตามทางเดินข้างทะเลสาบ หรือถ้ากลัวเมื่อย จะนั่งรถเข็นชมย่านเมืองเก่าหูท่งก็ไม่ว่ากัน บ้านเรือนแถวนี้เป็นศิลปะแบบซื่อเหอย่วน คือ การสร้างอาคารล้อมรอบสี่ด้าน เว้นตรงกลางให้มีลานโล่งๆ เหมือนในหนังจีน ที่ขาดไม่ได้ คือ สิงโตหน้าบ้าน โดยส่วนมากบ้านเหล่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติไปแล้ว ซื้อขายไม่ได้ ที่เหลือๆ ไม่เข้าตากรรมการ ก็แค่ราคาหลังละ 30-40 ล้านบาทไทยเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าตอนนี้ขอตัวไปเดินเที่ยวต่อ ฉบับหน้าเราจะพาท่านไปสัมผัสความรู้สึกแข็ง (เป็นน้ำแข็ง) ที่ฮาร์บิน ว่าเป็นอย่างไร


เรื่องน่ารู้

มลภาวะในปักกิ่ง เกินมาตรฐานของ World Health Organization ถึง 5 เท่า ทำให้ต้องใช้งบประมาณในการช่วยลดมลภาวะ เพื่อเตรียมงานโอลิมปิค 2008 เป็นเงินถึง 17 billion US$ หรือเท่ากับ 578,000,000,000 บาท (ห้าแสนเจ็ดหมื่นแปดพันล้านบาท)

ตะลุยเมืองจีน เมืองผิงเหยา

เปิดประตูเมืองผิงเหยา
บทความโดย Pondkung

เช้านี้ตื่นมาแบบสะลึมสะลือได้ใจ ในห้องนอนอากาศหนาวจัดจนเป็นไอเกาะตามกระจก ไอ้เจ้าฮีตเตอร์ในห้องก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย บวกกับมโนภาพของอาหารเช้าวันนี้เริ่มชักจะเอียน ไม่ว่าร้านไหนเมืองไหน ก็จะมีเมนูสุดฮิตเหมือนกันทุกร้าน นั่นก็คือ "หมั่นโถว น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋"


แต่ที่ซานซีมีเมนูพิเศษ คือ "มีซุป" ที่ใส่เหล้าขาวในปริมาณไม่น้อยลงไปเป็นส่วนผสมหลัก เห็นเขาบอกว่ากินแล้วร่างกายจะได้อบอุ่น อืม...ขอเป็นกระเพราไก่ไข่ดาวได้ไหม

อิ่มหนำสำราญก็ได้เวลาลุย เดินออกมาสายตาเหลือบไปเห็นปรอทที่ร้านขายของข้างๆ อากาศวันนี้อยู่ที่ลบ 13 องศา

เมืองผิงเหยาสร้างมาตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ฉินแล้ว แต่มาเริ่มสร้า่งเมืองให้แน่นหนาและเป็นระเบียบในสมัยจักรพรรดิจูหยวนจางของราชวงศ์หมิง ประตูเมืองและป้อมสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีจากชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือ

เรื่อยมาจนถึงปลายราชวงศ์หมิง ผิงเหยาเจริญจนถึงขีดสุด กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินของประเทศจีน เขาว่ามีไฟแนนซ์ราวๆ 20 กว่าแห่งในสมัยนั้น (โห ทันสมัย)

สถานที่แรกที่เราจะไปกัน คือ "รื่อเซิงชาง" ซึ่งเป็นธนาคารแห่งแรกของประเทศจีนที่มีระบบโอนเงินต่างสาขา นอกจากนี้ ที่นี่ยังนำนวัตกรรมใหม่ที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางด้านการเงิน มาใช้เป็นที่แรก นั่นก็คือ ระบบเช็ค จากที่ต้องหอบตั๋วเงินเป็นฟ่อนๆ ก็กลายเป็นถือเช็คใบเดียวตัวปลิวไปจ่ายเงิน แถมสะดวกด้วย สาขามากมายกระจายในประเทศทั่ว 76 จังหวัด (อุ๊ย ล้อเล่น...เพลินไปนิด แอบคิดถึงบ้าน) ด้านหน้ามีเคาน์เตอร์บริการลูกค้าเหมือนแบงค์สมัยปัจจุบัน

ข้างๆ เป็นเคาน์เตอร์รับเรื่องกู้เงิน เรือนด้านหลังเป็นที่รับรองแขกวีไอพี แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ พื้นด้านล่างมีห้องลับ ใช้สำหรับเก็บทรัพย์สินมีค่า แถมยังมีประตูกลที่ออกแบบมาให้คนข้างนอกพังเข้ามาไม่ได้อีก อย่างกับการ์ตูนญี่ปุ่น

ได้เวลาลุยสถานที่ต่อไป "จวนผู้ว่าเมืองผิงเหยา" สถานที่นี้ใหญ่เหมือนเป็นคอมเพล็กซ์ย่อยๆ ภายในมีเรือนทำงานของผู้ว่า จวนที่พัก ศาลตัดสินคดีความ คุกคุมขังนักโทษ สถานที่ประหารนักโทษและวัด (บรรยากาศแบบบรื่อๆ)

ภายในสถานที่นี้มีขนาดกว้างขวาง มีห้อง 299 ห้อง โครงสร้างสะท้อนให้เห็นถึงสังคมศักดินาของประเทศจีนในสมัยก่อน ความน่าสนใจของสถานที่นี้ไม่ได้อยู่ที่เรือนจวนผู้ว่าน่าเบื่อนั้นหรอก แต่อยู่ที่คุกและสถานที่สอบสวนนักโทษต่างหาก พอเข้ามาในคุกแคบๆ แต่ละห้องมีขนาดเล็กนิดเดียว ไม่นับหน้าต่างขนาดไมครอนที่ไม่รู้ว่าแสงจะลอดเข้ามาได้ไหม แถมด้วยห้องมืดอันน่าสะพรึงกลัว พอหลุดพ้นบรรยากาศมืดๆ มา ก็จะเจอกับสถานที่สอบสวนนักโทษ

การสอบสวนนักโทษในสมัยก่อนน่ากลัวอย่างแรง มีรูปแบบการทรมานต่างๆ นานา ประมาณว่าถึงไม่ได้ทำผิด เจอเข้าไปก็ต้องรับสารภาพว่าทำอยู่ดี ถ้าเทียบกับเมืองไทย คงเหมือนกับการทรมานนักโทษแบบจารีตนครบาลที่ยกเลิกไปในสมัย ร.5 ในห้องจัดแสดงเครื่องทรมานหลายรูปแบบ ตั้งแต่สถานเบา คือ เครื่องบีบนิ้ว กางเขนไว้แขวนคน จนไปถึงเครื่องบดกระดูก

หันไปหันมา เอ๊ะ คุณเพื่อนตัวดีหายไปไหน เลยลองเดินตามกลิ่นหอมๆ ดู แน่ะ มันแอบออกไปซอยข้างๆ ที่มีรถเข็นเข็นบ๊ะจ่างหอมฉุย อากาศหนาวๆ แบบนี้ได้กินของร้อนๆ คงจะดี คุณเพื่อนตัวดีสงสัยอยากกินจัด ไม่พูดไม่จาจัดการสวาปามบ๊ะจ่างนิรนามหมดอย่างรวดเร็วไปซะ 2 ห่อ ไอ้เราเองก็ขี้สงสัย เลยถามคนขายว่าบ๊ะจ่างไส้อะไร ให้คุณๆ ผู้อ่านลองเดากันเล่น พอคนขายว่ามันคือบ๊ะจ่างเนื้อหมา พวกที่ไม่ได้กินก็หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ส่วนพวกที่กินไม่ถามก็ทำหน้าพะอืดพะอม ป่านนี้คงลงไปถึงกระเพาะย่อยไปแล้วมั๊ง จะอ้วกก็ไม่ได้อายเพื่อน ไม่รู้จะสงสารหรือสมเพชดี ก็อยากมือไวใจเร็ว ไม่ถามให้ดีก่อนนิ

ความจริงเมืองผิงเหยาสามารถใช้เวลาอยู่ได้เป็นสัปดาห์ ค่อยๆ ดูสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของเมืองโบราณ แต่พวกเราไม่ใช่มาทำวิจัยหรือรายงาน เอาแบบหอมปากหอมคอก็พอ วันนี้จะต้องกลับเข้าเมืองไท่หยวน เพราะพรุ่งนี้ต้องบินไปปักกิ่งทำกิจกรรมแลกเปลี่ยน (ที่เป็นข้ออ้างในการขอหยุดเรียนซักที) รายละเีอียดติดตามอ่านได้ตอนหน้า...ตอนก๊กเหล้าย่านเมืองเก่าริมทะเลสาบ ที่ปักกิ่ง


เรื่องน่ารู้
  1. องค์กรยูเนสโก ประกาศให้เมืองผิงเหยาเป็นเมืองมรดกโลก ในปี ค.ศ. 1997
  2. มีประชากรประมาณ 500,000 คน
  3. ท่านสามารถซื้อตั๋ว Joint Ticket เพื่อชมสถานที่สำคัญต่างๆ 20 รายการ ในราคาประมาณ 120 หยวน
  4. อาหารเด่นประจำเมือง คือ เนื้อหมัก ซึ่งดังมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ประมาณ 640 ปีมาแล้ว และอย่าลืมชิมไวน์เหลือง ซึ่งทำมาจากข้าวเหนียวสีเหลือง

ตามรอย ตะลุยเมืองจีน

ตามรอยนักศึกษาไทย แบกเป้ตะลุย "เมืองจีน"
บทความโดย Pondkung




ต้นเหตุของทริปนี้มีอยู่ว่า หลักสูตรที่ผมเรียนอยู่นี้ ในเมืองจีนนอกจากที่ที่ผมเรียนอยู่ตอนนี้ ยังมีมหาวิทยาลัยพี่น้อง (ร่วมชะตากรรม) ที่มีหลักสูตรเดียวกันอีกสองที่ คือ มหาวิทยาลัยชิงหัวที่ปักกิ่งเมืองเก่า กับมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นที่เซี่ยงไฮ้ นักศึกษาของทั้ง 3 สถาบันวันดีคืนดีก็จะไปเยี่ยมบ้านเคาะประตูทักทายเสมอๆ ฤกษ์งามยามดีเหล่านักศึกษาก็คลอดโปรแกรมไปเยี่ยมเยียนสหาย (ร่วมตาย) ที่มหาวิทยาลัยชิงหัวปักกิ่ง กระผมทราบข่าวก็ไม่รอช้าร่วมด้วยช่วยกันทุบกระปุกไปด้วยเสียเลย

คุณๆ อาจจะถามว่า "อะไรกัน ปักกิ่งอีกแล้ว เที่ยวจนไม่รู้จะเที่ยวซอกไหนอีก ยัังจะมาเม้าท์ให้ฟังอีก" เย็นไว้ก่อนท่านๆ ทริปของผมเนี่ยนาน 14 วัน (จากเดิมแค่ 5 วัน แต่พวกผมแถเที่ยวเพิ่มเองอีกเท่าตัว) เริ่มแบกกระเป๋ากันจากมณฑลซานซีไปปักกิ่ง เยี่ยมสหายที่ชิงหัว (ซะนิดนึง) แล้วไปต่อโลด...มณฑลเฮยหลงเจียง มณฑลจี๋หลิน จนไปสุดที่เยียนเปียน เขตปกครองตนเองชนชาติเกาหลีเหนือ ดังนั้นทริปนี้ไม่มีแพกเกจทัวร์ บริษัททัวร์ไม่ทำเพราะทำแล้วเจ๊ง ที่ช้อปไม่มี โรงแรมไฮโซก็ไม่มี ยิ่งห้องน้ำชักโครกสวยหรูยิ่งไม่ต้องหา...เหอเหอ แต่ใครที่ชื่นชอบรสชาติของการท่องเที่ยวแบบลุยๆ แล้วละก็ สะพายกระเป๋าแล้วไปด้วยกันเลย


Day 1: กวางเจา-ไท่หยวน-ผิงเหยา

โชคดีตั้งแต่วันแรกเลย ได้อานิสงค์จากเพื่อนคนหนึ่งที่เรียนด้วยกัน มันทำงานอยู่กับสายการบินจีน จึงได้ตั๋วถูกมาก พระเจ้าช่วย! ตั๋วราคา 10% เอง ทำให้ตั๋วเครื่องบินจากกวางเจาไปไท่หยวน (เมืองเอกมณฑลซานซี) ที่บิน 2 ชั่วโมงกว่าๆ เหลือแค่ 380 หยวนเอง ถูกกว่านั่งรถไฟไปอีก (นั่งรถไฟต้องนั่ง 30 ชั่วโมง ถึงคงต้องหามศพลง)

มณฑลซานซีเป็นมณฑลที่ยากจน ตั้งอยู่บนแนวเทือกเขา อยู่ทิศตะวันตกติดกับปักกิ่ง อากาศหนาวเย็นและแห้งมาก วันแรกที่ถึงก็ประเดิมเลยที่ลบ 12 องศา หัวหูหนาวไปหมด ถนนหนทางที่นี่สกปรก มีแต่คราบสีดำๆ ไอ้เจ้าคราบพวกนี้จริงๆ แล้วเป็นถ่านหิน มณฑลซานซีใต้ดินมีถ่านหินอุดมสมบูรณ์มาก ซ้ำมีคุณภาพที่ดี ผู้คนจึงขุดขึ้นมาเป็นล่ำเป็นสัน มีเศรษฐีใหม่ที่ร่ำรวยจากการขุดถ่านหินมากมาย ที่ไท่หยวนนี่สร้างรถไฟใต้ดินไม่ได้หรอกนะ เพราะขุดปุ๊บเมืองจะถล่มปั๊บ เพราะใต้เมืองน่ะถูกขุดจนกลวงโบ๋หมดแล้ว

ที่เที่ยวที่แรกที่จะไปกัน คือ บ้านของตระกูลเฉียว บ้านหลังนี้ผู้กำกับชื่อดัง จางอวี้โหมว ใช้เป็นฉากของภาพยนตร์เรื่อง Red Lantern ที่มีนักแสดงสุดสวย คือ กงลี่ (สมัยที่ยังเลิฟกัน) สร้างในรัชสมัยพระเจ้าเฉียนหลง ตระกูลเฉียวเจ้าของบ้านเป็นตระกูลที่รวยมาก เริ่มทำธุรกิจจากการทำเชือกผูกรองเท้า ต่อมาจับพลัดจับผลูมาเป็นพ่อค้าผูกขาดบริเวณเมืองเปาโถว มองโกเลียใน เลยรวยอู้ฟู่ไปเลย ภายในบ้านมีบริเวณกว้างขวางมาก มีเนื้อที่ 9,000 ตารางเมตร ลักษณะภายในบ้านเป็นทรงสี่เหลี่ยม ตรงกลางเป็นลานโล่ง ในบ้านมี 313 ห้องนอน 6 สวนใหญ่และ 19 สวนย่อย ใหญ่โตมโหฬาร การตกแต่งภายในค่อนข้างเรียบง่ายแต่ดูหนักแน่นดี

ที่ต่อไปที่เราจะไปกัน คือ บ้านตระกูลหวัง ใครว่าตระกูลเฉียวรวย บ้านใหญ่แล้ว มาดูบ้านตระกูลหวังแล้วจะอึ้ง เพราะตระกูลหวังรวยมากๆๆๆ และบ้านใหญ่สุดๆ เริ่มสร้างเมื่อ 300 กว่าปีก่อน โดยตระกูลหวังรวยติดท๊อปเทนในตอนนั้น

ภายในบ้านตระกูลหวังใหญ่มากๆ เทียบเป็นหมู่บ้านๆ หนึ่งเลยก็ว่าได้ มีพื้นที่ถึง 150,000 ตารางเมตร มีสวนทั้งหมด 231 สวนกับอีก 2,078 ห้องนอน มีตั้งแต่วัดเล็กๆ หอยามสังเกตการณ์ จนไปถึงโรงเรียนส่วนตัว ล้อมรอบด้วยกำแพงที่สูงถึง 5 เมตร โดยบ้านตระกูลเฉียวและตระกูลหวังนี้ใหญ่โตมโหฬารทั้งคู่ แต่ทำไม๊...ทำไม บันไดบ้านน่ะสร้างซะเล็กจิ๊ดเดียว เดินเข้าออกจะหกคะมำหน้าทิ่มอยู่หลายครั้งแล้ว แถมข้างในไม่มีห้องน้ำนะขอรับ เิดินไปเดินมาเกิดปวดก็ต้องทน พร้อมกับจับทิศทางคลำหาทางออกกันเอาเอง เดินชมจนทั่วบอกได้คำเดียวว่า ตะลึง

ตะวันเริ่มจะตกดินแล้ว ท้องก็หิวจ๊อกๆ แต่ต้องนั่งรถไปอีกชั่วโมงกว่าๆ ไปนอนอีกเมืองนึงนู่น เป็นเมืองเก่า (ผีจะหลอกไหมนี่) ชื่อเมืองผิงเหยา ยูเนสโกยกย่องให้เป็นเมืองมรดกโลกด้วยนะ ในฐานะเมืองเก่าโบราณที่เก็บรักษาไว้ในสภาพที่ดีมากและยังมีผู้คนอาศัยอยู่ สุดท้ายก็ถึงซะทีผิงเหยา เดินลงมาจากรถตัวสั่นผั่บๆ เป็นลูกนก เข้าที่พักก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง หม่ำ อาบน้ำและนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนหลับไม่ลืมสวดมนต์ไหว้พระ ก็กลัวผีหนิ วันนี้แค่นี้ก่อนแล้วมาต่อกันคราวหน้า

ข้อมูลน่ารู้
  • ไท่หยวน เป็นเมืองเอกของมณฑลซานซี มีประชากรประมาณ 3,400,000 คน (2004) ปัจจุบันไท่หยวน เป็นเมืองอุตสาหกรรมหนักที่สำคัญของประเทศจีน โดยครึ่งหนึ่งของการผลิตถ่านหินทั้งประเทศมาจากที่นี้
  • อาหารจานเด่น คือ บะหมี่ซานซี ซึ่งนำมาทำเป็นจานเด็ดหลายประเภท และแนะนำให้ไปลองไส้กรอกหยางจิ (Yangji) ราคา 1 หยวน ที่ถนนอาหาร (Taiyuan Food Street) ในตัวเมือง
  • วัดจินชิ (Jinci Temple) ซึ่งมีอายุเกือบ 3,000 ปี ห่างจากตัวเมืองไท่หยวนประมาณ 25 กิโลเมตร ค่าเข้าชม 40 หยวน เวลาเข้าชม 07.30 - 18.30 ใช้เวลาเดินชมประมาณ 2 ชั่วโมง

ชวนไปติดลบ กับเทศกาลน้ำแข็งแกะสลักที่ฮาร์บิน

ชวนไปติดลบกับ...
เทศกาลน้ำแข็งแกะสลักที่ฮาร์บิน
บทความโดย Pondkung


ช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงในการมาเที่ยวประเทศจีน ก็คือช่วงตรุษจีน เพราะเหมือนกับคนไทยที่จะพากันกลับไปเยี่ยมบ้านกันในช่วงนี้ แต่จำนวนประชากรที่จีนเยอะกว่ามากๆๆๆ...

ทำให้การเดินทางในช่วงนี้ลำบากและแพงมาก แม้ว่าจะจองล่วงหน้าเป็นเดือน ก็ไม่สามารถซื้อตั๋วรถไฟจากปักกิ่งไปฮาร์บินได้ ส่วนตั๋วเครื่องบินก็ราคาพุ่งปรี๊ดไปเป็นหลักหมื่นบาท เลยต้องใช้กำลังภายในให้เพื่อนของเพื่อนที่อยู่ปักกิ่งไปซื้อตั๋วรถไฟจากนายหน้าขายตั๋ว เสียค่าจองไปอีกร้อยกว่าหยวน เป็นอุทาหรณ์ให้กับพวกที่ชอบเดินทางในช่วงตรุษจีน

มาต่อที่การเดินทางของเรากัน อยู่ปักกิ่งได้สองวันก็ได้เวลาลุยฮาร์บินกันแล้ว ตั๋วรถไฟที่จองไว้เป็นขบวนรถด่วน ใช้เวลาเพียง 8 ชั่วโมงกับระยะทางเกือบพันเจ็ดร้อยกิโลเมตร รถไฟขบวนนี้จอดแค่ 2 ป้าย คือ เสิ่นหยางและฉางชุน หลังจากฝ่าฟันกับคลื่นมหาชนที่สถานีรถไฟปักกิ่งและนั่งจับเจ่าบนรถไฟอีกครึ่งวัน เราก็มาถึงเมืองฮาร์บิน ศูนย์กลางของภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน


เกริ่นคร่าวๆ เกี่ยวกับเมืองให้ฟังกันสักหน่อย เมืองฮาร์บินเริ่มสร้างมาเพียงแค่ร้อยกว่าปีเท่านั้น เดิมเป็นแคมป์ของวิศวกรรัสเซียที่สร้างทางรถไฟสายทรานไซบีเรีย ภายหลังเมืองเจริญด้วยการพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก จนภายหลังกลายมาเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชากรเกินสิบล้านคน นักท่องเที่ยวที่มาเยือนฮาร์บินมักจะมาในช่วงหน้าหนาว หน้าหนาวของที่นี่ไม่มีหรอกจิ๊บๆ ลบสี่ลบห้าองศา ที่นี่มีแต่ลบยี่สิบทะลุไปถึงเกือบลบสี่สิบก็มี คนไม่น้อยมาวัดความกล้ากับความหนาวของที่นี่

ฮาร์บินต้อนรับเราด้วยอากาศที่แจ่มใสกับแสงแดดจ้า แถมอุณหภูมิที่ติดลบสิบเจ็ดองศา (ฟังคนจีนข้างๆ เม้าท์กันว่าวันนี้อากาศอุ๊นอุ่น...เอากะเขาสิ) แค่นี้กะเหรี่ยงมีแซ่แห่งเมืองสยามบ่ยั่นอยู่แล้ว สวมทับเสื้อขนเป็ดแล้วลุยเลยดีกว่า

เริ่มกันที่ถนนจงยังต้าเจีย ถนนเส้นนี้ปูด้วยหิน สองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ไม่ว่าจะเป็นบาร็อค ไบเซนไทน์หรือยิว ที่ดัดแปลงมาทำเป็นห้างร้านต่างๆ น่าเ้ข้า ชวนเสียตังค์นักแล บรรยากาศเมืองดูเผินๆ จะเหมือนเดินอยู่ในยุโรปเป็นอย่างมากถ้าไม่มีตัวอักษรจีนและอาแปะอาซิ้มเดินกันให้ควั่ก ที่นี่เขาไอเดียเก๋เอาน้ำแข็งมาวางตามทางเดินเป็นรูปต่างๆ เป็นบาร์นั่งได้ก็มีนะ

สถานที่เที่ยวภาคบังคับอีกที่ที่อยู่ใกล้กัน คือ โบสถ์เซนต์โซเฟีย ที่นี่งดงามอลังการด้วยสถาปัตยกรรมแบบคริสต์ นิกายออทอดอกซ์แบบรัสเซีย สังเกตง่ายๆ จากโดมทรงรูปหัวหอม ตอนนี้ไม่ได้ใช้เป็นโบสถ์แล้ว แต่ใช้เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการรูปถ่ายเก่าๆ ที่ทรงคุณค่า

โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนชอบอาหารตงเป่ย (อีสานของจีน) เป็นอย่างมาก เลยถือโอกาสประเดิมอาหารตงเป่ยขนานแท้ในแดนต้นตำรับดีกว่า อาหารตงเป่ยขึ้นชื่อมากในเกี๊ยว บางคนอาจบอกว่าอะไรเกี๊ยวของพื้นๆ แต่ขอโทษ ของพื้นๆ นี่หาทานอร่อยยากนะ เกี๊ยวตงเป่ยแป้งจะบาง ไส้มาก ข้างในมีน้ำซุปขลุกขลิก เสี่ยวหลงเปาที่ว่าดังๆ เหรอกระเด็นชิดซ้ายหมด และอีกอย่างเป็นหมูทอดบางๆ กรอบๆ ราดด้วยน้ำซอสเปรี้ยวหวาน ถ้าได้แกล้มเบียร์ฮาร์บินละเด็ดสุดยอด (เด็กๆ ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง) นี่ขนาดพิมพ์ไป คนเขียนชักน้ำลายสอ



ไฮไลท์ของทริปนี้และของฮาร์บินเรากำลังจะไปเยือนกัน คือ สถานที่จัดแสดงประติมากรรมแกะสลักจากน้ำแข็ง จะให้สวยต้องไปดูตอนกลางคืน (ให้มันหนาวกันเข้าไปอีก) เทศกาลนี้มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง น้ำแข็งที่นี่จะถูกแกะสลักขึ้นเป็นรูปทรงต่างๆ จนไปถึงสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆ เช่น พีรามิดหรือกำแพงเมืองจีน ประดับไฟสีต่างๆ สวยงามมาก นอกจากจีนแล้วยังมีประเทศอื่นๆ ส่งตัวแทนมาสร้างผลงานแสดงเช่นกัน

ยิ่งมืดอากาศก็ยิ่งหนาว ปรอทวัดได้ลบยี่สิบห้า (โอ้ แม่เจ้า) ความหนาวเริ่มทำพิษ อยู่ดีๆ กล้องดิจิตอลเกิดเดี้ยงขึ้นมาเฉยๆ ถ่ายไม่ได้ บอกถ่านหมดซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพิ่งชาร์จเต็มมา ผู้สันทัดกรณีให้คำแนะนำมาก่อนหน้านี้ว่า ถ้ากล้องเกิดอาการแบบนี้ให้แก้ไขโดยการให้ความอบอุ่นกับกล้อง (จริงๆ) เลยตัดสินใจเอากล้องมาซุกในเสื้อ พออุ่นขึ้นหน่อยถ่ายได้ไม่กี่รูปก็หมดสภาพเหมือนเดิมอีก กว่าจะยักแย่ยักยันเดินถ่ายครบรอบ เล่นเอาซะเหนื่อย

แต่ก็คุ้มเพราะสวยจริงๆ ไฟที่เพิ่มทำให้น้ำแข็งดูตระการตามากๆ สรุปว่าเดินดูจนเกือบเที่ยงคืน กลับถึงโรงแรมหลับเป็นตาย


Recommended
  • ช่วงเวลาที่ควรไป จะอยู่ที่ปลายเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ลบ 15 - ลบ 35 องศา
  • ควรจะไปดูช่วงเย็น ประมาณ 17.00 น. เป็นต้นไป เพราะจะได้ดูการประดับไฟด้วย
  • อาหารแนะนำให้ลอง ก็คืออาหารพื้นเมือง พวกเนื้อแพะผัดและอาหารรัสเซีย
  • ส่วนที่พัก ก็มีโรงแรม Hua Yi Hotel ระดับ 4 ดาว และโรงแรม Shiyou Hotel