เปิดประตูเมืองผิงเหยา
บทความโดย Pondkung
เช้านี้ตื่นมาแบบสะลึมสะลือได้ใจ ในห้องนอนอากาศหนาวจัดจนเป็นไอเกาะตามกระจก ไอ้เจ้าฮีตเตอร์ในห้องก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย บวกกับมโนภาพของอาหารเช้าวันนี้เริ่มชักจะเอียน ไม่ว่าร้านไหนเมืองไหน ก็จะมีเมนูสุดฮิตเหมือนกันทุกร้าน นั่นก็คือ "หมั่นโถว น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋"
แต่ที่ซานซีมีเมนูพิเศษ คือ "มีซุป" ที่ใส่เหล้าขาวในปริมาณไม่น้อยลงไปเป็นส่วนผสมหลัก เห็นเขาบอกว่ากินแล้วร่างกายจะได้อบอุ่น อืม...ขอเป็นกระเพราไก่ไข่ดาวได้ไหม
อิ่มหนำสำราญก็ได้เวลาลุย เดินออกมาสายตาเหลือบไปเห็นปรอทที่ร้านขายของข้างๆ อากาศวันนี้อยู่ที่ลบ 13 องศา
เมืองผิงเหยาสร้างมาตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ฉินแล้ว แต่มาเริ่มสร้า่งเมืองให้แน่นหนาและเป็นระเบียบในสมัยจักรพรรดิจูหยวนจางของราชวงศ์หมิง ประตูเมืองและป้อมสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีจากชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือ
เรื่อยมาจนถึงปลายราชวงศ์หมิง ผิงเหยาเจริญจนถึงขีดสุด กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินของประเทศจีน เขาว่ามีไฟแนนซ์ราวๆ 20 กว่าแห่งในสมัยนั้น (โห ทันสมัย)
สถานที่แรกที่เราจะไปกัน คือ "รื่อเซิงชาง" ซึ่งเป็นธนาคารแห่งแรกของประเทศจีนที่มีระบบโอนเงินต่างสาขา นอกจากนี้ ที่นี่ยังนำนวัตกรรมใหม่ที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางด้านการเงิน มาใช้เป็นที่แรก นั่นก็คือ ระบบเช็ค จากที่ต้องหอบตั๋วเงินเป็นฟ่อนๆ ก็กลายเป็นถือเช็คใบเดียวตัวปลิวไปจ่ายเงิน แถมสะดวกด้วย สาขามากมายกระจายในประเทศทั่ว 76 จังหวัด (อุ๊ย ล้อเล่น...เพลินไปนิด แอบคิดถึงบ้าน) ด้านหน้ามีเคาน์เตอร์บริการลูกค้าเหมือนแบงค์สมัยปัจจุบัน
ข้างๆ เป็นเคาน์เตอร์รับเรื่องกู้เงิน เรือนด้านหลังเป็นที่รับรองแขกวีไอพี แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ พื้นด้านล่างมีห้องลับ ใช้สำหรับเก็บทรัพย์สินมีค่า แถมยังมีประตูกลที่ออกแบบมาให้คนข้างนอกพังเข้ามาไม่ได้อีก อย่างกับการ์ตูนญี่ปุ่น
ได้เวลาลุยสถานที่ต่อไป "จวนผู้ว่าเมืองผิงเหยา" สถานที่นี้ใหญ่เหมือนเป็นคอมเพล็กซ์ย่อยๆ ภายในมีเรือนทำงานของผู้ว่า จวนที่พัก ศาลตัดสินคดีความ คุกคุมขังนักโทษ สถานที่ประหารนักโทษและวัด (บรรยากาศแบบบรื่อๆ)
ภายในสถานที่นี้มีขนาดกว้างขวาง มีห้อง 299 ห้อง โครงสร้างสะท้อนให้เห็นถึงสังคมศักดินาของประเทศจีนในสมัยก่อน ความน่าสนใจของสถานที่นี้ไม่ได้อยู่ที่เรือนจวนผู้ว่าน่าเบื่อนั้นหรอก แต่อยู่ที่คุกและสถานที่สอบสวนนักโทษต่างหาก พอเข้ามาในคุกแคบๆ แต่ละห้องมีขนาดเล็กนิดเดียว ไม่นับหน้าต่างขนาดไมครอนที่ไม่รู้ว่าแสงจะลอดเข้ามาได้ไหม แถมด้วยห้องมืดอันน่าสะพรึงกลัว พอหลุดพ้นบรรยากาศมืดๆ มา ก็จะเจอกับสถานที่สอบสวนนักโทษ
การสอบสวนนักโทษในสมัยก่อนน่ากลัวอย่างแรง มีรูปแบบการทรมานต่างๆ นานา ประมาณว่าถึงไม่ได้ทำผิด เจอเข้าไปก็ต้องรับสารภาพว่าทำอยู่ดี ถ้าเทียบกับเมืองไทย คงเหมือนกับการทรมานนักโทษแบบจารีตนครบาลที่ยกเลิกไปในสมัย ร.5 ในห้องจัดแสดงเครื่องทรมานหลายรูปแบบ ตั้งแต่สถานเบา คือ เครื่องบีบนิ้ว กางเขนไว้แขวนคน จนไปถึงเครื่องบดกระดูก
หันไปหันมา เอ๊ะ คุณเพื่อนตัวดีหายไปไหน เลยลองเดินตามกลิ่นหอมๆ ดู แน่ะ มันแอบออกไปซอยข้างๆ ที่มีรถเข็นเข็นบ๊ะจ่างหอมฉุย อากาศหนาวๆ แบบนี้ได้กินของร้อนๆ คงจะดี คุณเพื่อนตัวดีสงสัยอยากกินจัด ไม่พูดไม่จาจัดการสวาปามบ๊ะจ่างนิรนามหมดอย่างรวดเร็วไปซะ 2 ห่อ ไอ้เราเองก็ขี้สงสัย เลยถามคนขายว่าบ๊ะจ่างไส้อะไร ให้คุณๆ ผู้อ่านลองเดากันเล่น พอคนขายว่ามันคือบ๊ะจ่างเนื้อหมา พวกที่ไม่ได้กินก็หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ส่วนพวกที่กินไม่ถามก็ทำหน้าพะอืดพะอม ป่านนี้คงลงไปถึงกระเพาะย่อยไปแล้วมั๊ง จะอ้วกก็ไม่ได้อายเพื่อน ไม่รู้จะสงสารหรือสมเพชดี ก็อยากมือไวใจเร็ว ไม่ถามให้ดีก่อนนิ
ความจริงเมืองผิงเหยาสามารถใช้เวลาอยู่ได้เป็นสัปดาห์ ค่อยๆ ดูสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของเมืองโบราณ แต่พวกเราไม่ใช่มาทำวิจัยหรือรายงาน เอาแบบหอมปากหอมคอก็พอ วันนี้จะต้องกลับเข้าเมืองไท่หยวน เพราะพรุ่งนี้ต้องบินไปปักกิ่งทำกิจกรรมแลกเปลี่ยน (ที่เป็นข้ออ้างในการขอหยุดเรียนซักที) รายละเีอียดติดตามอ่านได้ตอนหน้า...ตอนก๊กเหล้าย่านเมืองเก่าริมทะเลสาบ ที่ปักกิ่ง
เรื่องน่ารู้
บทความโดย Pondkung
เช้านี้ตื่นมาแบบสะลึมสะลือได้ใจ ในห้องนอนอากาศหนาวจัดจนเป็นไอเกาะตามกระจก ไอ้เจ้าฮีตเตอร์ในห้องก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย บวกกับมโนภาพของอาหารเช้าวันนี้เริ่มชักจะเอียน ไม่ว่าร้านไหนเมืองไหน ก็จะมีเมนูสุดฮิตเหมือนกันทุกร้าน นั่นก็คือ "หมั่นโถว น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋"
แต่ที่ซานซีมีเมนูพิเศษ คือ "มีซุป" ที่ใส่เหล้าขาวในปริมาณไม่น้อยลงไปเป็นส่วนผสมหลัก เห็นเขาบอกว่ากินแล้วร่างกายจะได้อบอุ่น อืม...ขอเป็นกระเพราไก่ไข่ดาวได้ไหม
อิ่มหนำสำราญก็ได้เวลาลุย เดินออกมาสายตาเหลือบไปเห็นปรอทที่ร้านขายของข้างๆ อากาศวันนี้อยู่ที่ลบ 13 องศา
เมืองผิงเหยาสร้างมาตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ฉินแล้ว แต่มาเริ่มสร้า่งเมืองให้แน่นหนาและเป็นระเบียบในสมัยจักรพรรดิจูหยวนจางของราชวงศ์หมิง ประตูเมืองและป้อมสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีจากชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือ
เรื่อยมาจนถึงปลายราชวงศ์หมิง ผิงเหยาเจริญจนถึงขีดสุด กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินของประเทศจีน เขาว่ามีไฟแนนซ์ราวๆ 20 กว่าแห่งในสมัยนั้น (โห ทันสมัย)
สถานที่แรกที่เราจะไปกัน คือ "รื่อเซิงชาง" ซึ่งเป็นธนาคารแห่งแรกของประเทศจีนที่มีระบบโอนเงินต่างสาขา นอกจากนี้ ที่นี่ยังนำนวัตกรรมใหม่ที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงค่านิยมทางด้านการเงิน มาใช้เป็นที่แรก นั่นก็คือ ระบบเช็ค จากที่ต้องหอบตั๋วเงินเป็นฟ่อนๆ ก็กลายเป็นถือเช็คใบเดียวตัวปลิวไปจ่ายเงิน แถมสะดวกด้วย สาขามากมายกระจายในประเทศทั่ว 76 จังหวัด (อุ๊ย ล้อเล่น...เพลินไปนิด แอบคิดถึงบ้าน) ด้านหน้ามีเคาน์เตอร์บริการลูกค้าเหมือนแบงค์สมัยปัจจุบัน
ข้างๆ เป็นเคาน์เตอร์รับเรื่องกู้เงิน เรือนด้านหลังเป็นที่รับรองแขกวีไอพี แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ พื้นด้านล่างมีห้องลับ ใช้สำหรับเก็บทรัพย์สินมีค่า แถมยังมีประตูกลที่ออกแบบมาให้คนข้างนอกพังเข้ามาไม่ได้อีก อย่างกับการ์ตูนญี่ปุ่น
ได้เวลาลุยสถานที่ต่อไป "จวนผู้ว่าเมืองผิงเหยา" สถานที่นี้ใหญ่เหมือนเป็นคอมเพล็กซ์ย่อยๆ ภายในมีเรือนทำงานของผู้ว่า จวนที่พัก ศาลตัดสินคดีความ คุกคุมขังนักโทษ สถานที่ประหารนักโทษและวัด (บรรยากาศแบบบรื่อๆ)
ภายในสถานที่นี้มีขนาดกว้างขวาง มีห้อง 299 ห้อง โครงสร้างสะท้อนให้เห็นถึงสังคมศักดินาของประเทศจีนในสมัยก่อน ความน่าสนใจของสถานที่นี้ไม่ได้อยู่ที่เรือนจวนผู้ว่าน่าเบื่อนั้นหรอก แต่อยู่ที่คุกและสถานที่สอบสวนนักโทษต่างหาก พอเข้ามาในคุกแคบๆ แต่ละห้องมีขนาดเล็กนิดเดียว ไม่นับหน้าต่างขนาดไมครอนที่ไม่รู้ว่าแสงจะลอดเข้ามาได้ไหม แถมด้วยห้องมืดอันน่าสะพรึงกลัว พอหลุดพ้นบรรยากาศมืดๆ มา ก็จะเจอกับสถานที่สอบสวนนักโทษ
การสอบสวนนักโทษในสมัยก่อนน่ากลัวอย่างแรง มีรูปแบบการทรมานต่างๆ นานา ประมาณว่าถึงไม่ได้ทำผิด เจอเข้าไปก็ต้องรับสารภาพว่าทำอยู่ดี ถ้าเทียบกับเมืองไทย คงเหมือนกับการทรมานนักโทษแบบจารีตนครบาลที่ยกเลิกไปในสมัย ร.5 ในห้องจัดแสดงเครื่องทรมานหลายรูปแบบ ตั้งแต่สถานเบา คือ เครื่องบีบนิ้ว กางเขนไว้แขวนคน จนไปถึงเครื่องบดกระดูก
หันไปหันมา เอ๊ะ คุณเพื่อนตัวดีหายไปไหน เลยลองเดินตามกลิ่นหอมๆ ดู แน่ะ มันแอบออกไปซอยข้างๆ ที่มีรถเข็นเข็นบ๊ะจ่างหอมฉุย อากาศหนาวๆ แบบนี้ได้กินของร้อนๆ คงจะดี คุณเพื่อนตัวดีสงสัยอยากกินจัด ไม่พูดไม่จาจัดการสวาปามบ๊ะจ่างนิรนามหมดอย่างรวดเร็วไปซะ 2 ห่อ ไอ้เราเองก็ขี้สงสัย เลยถามคนขายว่าบ๊ะจ่างไส้อะไร ให้คุณๆ ผู้อ่านลองเดากันเล่น พอคนขายว่ามันคือบ๊ะจ่างเนื้อหมา พวกที่ไม่ได้กินก็หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง ส่วนพวกที่กินไม่ถามก็ทำหน้าพะอืดพะอม ป่านนี้คงลงไปถึงกระเพาะย่อยไปแล้วมั๊ง จะอ้วกก็ไม่ได้อายเพื่อน ไม่รู้จะสงสารหรือสมเพชดี ก็อยากมือไวใจเร็ว ไม่ถามให้ดีก่อนนิ
ความจริงเมืองผิงเหยาสามารถใช้เวลาอยู่ได้เป็นสัปดาห์ ค่อยๆ ดูสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมของเมืองโบราณ แต่พวกเราไม่ใช่มาทำวิจัยหรือรายงาน เอาแบบหอมปากหอมคอก็พอ วันนี้จะต้องกลับเข้าเมืองไท่หยวน เพราะพรุ่งนี้ต้องบินไปปักกิ่งทำกิจกรรมแลกเปลี่ยน (ที่เป็นข้ออ้างในการขอหยุดเรียนซักที) รายละเีอียดติดตามอ่านได้ตอนหน้า...ตอนก๊กเหล้าย่านเมืองเก่าริมทะเลสาบ ที่ปักกิ่ง
เรื่องน่ารู้
- องค์กรยูเนสโก ประกาศให้เมืองผิงเหยาเป็นเมืองมรดกโลก ในปี ค.ศ. 1997
- มีประชากรประมาณ 500,000 คน
- ท่านสามารถซื้อตั๋ว Joint Ticket เพื่อชมสถานที่สำคัญต่างๆ 20 รายการ ในราคาประมาณ 120 หยวน
- อาหารเด่นประจำเมือง คือ เนื้อหมัก ซึ่งดังมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิง ประมาณ 640 ปีมาแล้ว และอย่าลืมชิมไวน์เหลือง ซึ่งทำมาจากข้าวเหนียวสีเหลือง
แสดงความคิดเห็น