1 วัน กับ 4 ของดี ใน ไท่หยวน
+ 1 ทะเลสาบ อินเทรนด์ในปักกิ่ง
บทความโดย Pondkung
ถึงวันที่จะต้องอำลาซานซีสักที วันนี้จึงตีรถกลับไท่หยวน เพื่อขึ้นเครื่องบินไปปักกิ่ง ระหว่างการเดินทางที่ไท่หยวน ถนนหนทางคดเคี้ยวและฝุ่นดินแดงฟุ้งกระจาย สมาชิกคนหนึ่งเหลือบไปเจอป้ายบอกทางไปวัดซึ่งอยู่ไม่ไกล เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อการเดินทางอันสุดอึดของพวกเรา จึงตกลงใจว่าจะเลี้ยวรถเข้าไปแวะขอพรที่วัดแห่งนี้ พอรถจอดสนิทที่หน้่าวัด มองเข้าไปไม่น่าเชื่อเลยว่า ในเขากันดารแบบนี้ยังมีคนอุตส่าห์มาสร้างวัดไว้ซะใหญ่โต
"วัดจิ้นฉือ" วัดสวย มีของดีให้ชม
วัดนี้มีชื่อว่า "วัดจิ้นฉือ" สร้างมานมนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก ราวๆ ศตวรรษที่ 11 ก่อนคริสตกาล ตามประวัติเล่าไว้ว่า กษัตริย์ในสมัยนั้นมีพระราชโองการให้ พระเชษฐาหยู มาปกครองแคว้นอันกันดารนี้ เนื่องจากความเป็นนักพัฒนาของพระเชษฐาหยู ทำให้ดินแดนแห่งนี้มีความเจริญก้าวหน้า ชาวบ้านจึงร่วมกันสร้างอารามแห่งนี้ไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความดี ภายในประกอบด้วยหมู่ศาลาน้อยใหญ่มากมายกระจายทั่วไป
ศาลาที่ใหญ่และสวยงามที่สุด เป็นศาลาที่อุทิศให้กับเจ้าแม่เซิงหมู่ หน้าศาลามีสะพานที่งดงาม เรียกว่า สะพานบิน ซึ่งถ้ามองจากด้านหน้า ดูเหมือนว่าสะพานลอยอยู่ (จริงๆ)
ว่ากันว่าวัดนี้มีของดีอยู่ 3 อย่างที่ไม่ควรพลาด อย่างที่ 1 คือ น้ำพุอายุวัฒนะที่ดื่มแล้วไม่มีวันแก่ ตามประวัติบอกถึงความมหัศจรรย์ของน้ำพุนี้ว่า เป็นน้ำพุที่ไม่เคยแห้งแม้ว่าจะแล้งแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเราก็ไม่ได้ลองดื่มกันเพราะห่วงชีวิตตัวเอง เนื่องจากมณฑลนี้น้ำใต้ดินมีระดับตะกั่วปนเปื้อนอยู่ในระดับที่สูงทีเดียว เพื่อความสะดวก ทางวัดยังขายน้ำพุเป็นขวดอีกต่างหาก...เอ๊ะ ไอเดียคุ้นๆ เหมือนน้ำมนต์เมืองไทยที่มีเกลื่อนตามวัดชื่อดัง
ของดีอย่างที่ 2 คือ หญิงชาววัง ไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริงแต่อย่างใด เป็นรูปปั้นสมัยราชวงศ์ซ่งที่มีสีสันสวยงาม หลากหลายอิริยาบถ บ้างก็เล่นเครื่องดนตรี ร่ายรำหรือโพสท์ท่าสวย จะว่าไปคนจีนสมัยก่อนก็มีภาพผู้หญิงในอุดมคติแบบเนื้อนมไข่เหมือนกัน เพราะรูปปั้นแต่ละตัวนี่อวบอึ๋มดีจริงๆ
ส่วนของดีอย่าง 3 คือ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อว่าปลูกขึ้นสมัยราชวงศ์โจว ยังมีอีกอย่างที่น่าจะนับเป็นของดีอย่างที่ 4 คือ มนุษย์ทองคำ (เหล็ก) ที่แสดงท่วงท่ารำมวยหลายตนด้วยกัน น่าจะนำไปแข่งกับอรหันต์ทองคำวัดเส้าหลินคงจะสนุกดี
นอกจากได้ขอพรแล้ว พวกเรายังได้มาเห็นชีวิตผู้คนแถวนี้ที่ส่วนมากมีอาชีพเกษตรกรรม พืชที่ปลูกส่วนมากจะเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กที่ทนต่อสภาพแห้งแล้ง เพราะบริเวณนี้แห้งแล้งมาก และลมที่พัดแรงได้พัดเอาหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ไปจนทำให้ดินเป็นสีเหลือง จึงหาต้นไม้ยืนต้นสูงๆ ยาก ทำให้บ้านแถวนี้มีลักษณะเป็นถ้ำ โดยชาวบ้านจะเจาะเข้าไปในภูเขาแทนที่จะใช้ไม้สร้าง แถมยังบอกด้วยว่าหน้าหนาวแบบนี้ภายในนั้นอุ่นมาก ขณะที่หน้าร้อนก็เย็นสบาย ไม่ต้องพึ่งแอร์
ทะเลสาบอินเทรนด์ที่โฮ่วไห่
เราเดินทางต่อไปปักกิ่งโดยสายการบินไหหลำ ซึ่งใช้เวลาสั้นๆ แค่ 50 นาที แอบดีใจเล็กๆ ที่ได้มาเห็นความเจริญบ้าง แถมอากาศที่นี่ก็อุ่นกว่าที่ซานซี หิมะก็ไม่ตก เด็กๆ แค่ลบ 8 องศาเซลเซียสเท่านั้นเอง (แต่ข้างในไม่รู้แอบใส่เสื้อมากี่ชั้น) ได้ยินมาว่าช่วงปีหลังนี้อากาศอุ่นขึ้น หิมะตกน้อยลงมาก สาเหตุคงมาจากปรากฏการณ์โลกร้อนนั่นเอง ช่วยไม่ได้ที่ใช้พลังงานมากและก่อมลภาวะเยอะเอง จนลมพัดมลพิษเป็นเมฆสีแดงไปถึงอเมริกาให้ตื่นเต้นเล่น
กิตติศัพท์ของสถานที่เที่ยวกลางคืนของปักกิ่ง ทำให้วิญญาณนกฮูกเข้าสิงบรรดาสมาชิกทุกคน หากใครบอกว่ามาปักกิ่งต้องไปเที่ยวกลางคืนที่ย่านซานหลี่ถุน หรือที่รู้จักกันดีว่า ย่านสถานทูต ถึงจะอินเทรนด์ ก็ขอบอกเลยว่า สุดจะเอ้าท์
ตอนนี้เขาไปเที่ยวที่ทะเลสาบโฮ่วไห่กันแล้ว ใครที่เรียนมาทางด้านอสังหาริมทรัพย์อยากให้มาชมที่นี่มาก เมื่อก่อนนี้ที่นี่เป็นสวนสาธารณะเงียบๆ ด้านหลังวังต้องห้าม ติดกับย่านชุมชนเก่าหูท่ง แต่ตอนนี้ได้รับการพัฒนาให้เป็นที่เที่ยวยามราตรี ที่เรียงรายไปด้วยร้านขายของศิลปะเก๋ๆ ร้านอาหารหรูๆ และผับที่จัดได้
ฮิปมาก
ในการเดินชม สามารถเดินไปตามทางเดินข้างทะเลสาบ หรือถ้ากลัวเมื่อย จะนั่งรถเข็นชมย่านเมืองเก่าหูท่งก็ไม่ว่ากัน บ้านเรือนแถวนี้เป็นศิลปะแบบซื่อเหอย่วน คือ การสร้างอาคารล้อมรอบสี่ด้าน เว้นตรงกลางให้มีลานโล่งๆ เหมือนในหนังจีน ที่ขาดไม่ได้ คือ สิงโตหน้าบ้าน โดยส่วนมากบ้านเหล่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติไปแล้ว ซื้อขายไม่ได้ ที่เหลือๆ ไม่เข้าตากรรมการ ก็แค่ราคาหลังละ 30-40 ล้านบาทไทยเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าตอนนี้ขอตัวไปเดินเที่ยวต่อ ฉบับหน้าเราจะพาท่านไปสัมผัสความรู้สึกแข็ง (เป็นน้ำแข็ง) ที่ฮาร์บิน ว่าเป็นอย่างไร
เรื่องน่ารู้
มลภาวะในปักกิ่ง เกินมาตรฐานของ World Health Organization ถึง 5 เท่า ทำให้ต้องใช้งบประมาณในการช่วยลดมลภาวะ เพื่อเตรียมงานโอลิมปิค 2008 เป็นเงินถึง 17 billion US$ หรือเท่ากับ 578,000,000,000 บาท (ห้าแสนเจ็ดหมื่นแปดพันล้านบาท)
+ 1 ทะเลสาบ อินเทรนด์ในปักกิ่ง
บทความโดย Pondkung
ถึงวันที่จะต้องอำลาซานซีสักที วันนี้จึงตีรถกลับไท่หยวน เพื่อขึ้นเครื่องบินไปปักกิ่ง ระหว่างการเดินทางที่ไท่หยวน ถนนหนทางคดเคี้ยวและฝุ่นดินแดงฟุ้งกระจาย สมาชิกคนหนึ่งเหลือบไปเจอป้ายบอกทางไปวัดซึ่งอยู่ไม่ไกล เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อการเดินทางอันสุดอึดของพวกเรา จึงตกลงใจว่าจะเลี้ยวรถเข้าไปแวะขอพรที่วัดแห่งนี้ พอรถจอดสนิทที่หน้่าวัด มองเข้าไปไม่น่าเชื่อเลยว่า ในเขากันดารแบบนี้ยังมีคนอุตส่าห์มาสร้างวัดไว้ซะใหญ่โต
"วัดจิ้นฉือ" วัดสวย มีของดีให้ชม
วัดนี้มีชื่อว่า "วัดจิ้นฉือ" สร้างมานมนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจวตะวันตก ราวๆ ศตวรรษที่ 11 ก่อนคริสตกาล ตามประวัติเล่าไว้ว่า กษัตริย์ในสมัยนั้นมีพระราชโองการให้ พระเชษฐาหยู มาปกครองแคว้นอันกันดารนี้ เนื่องจากความเป็นนักพัฒนาของพระเชษฐาหยู ทำให้ดินแดนแห่งนี้มีความเจริญก้าวหน้า ชาวบ้านจึงร่วมกันสร้างอารามแห่งนี้ไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความดี ภายในประกอบด้วยหมู่ศาลาน้อยใหญ่มากมายกระจายทั่วไป
ศาลาที่ใหญ่และสวยงามที่สุด เป็นศาลาที่อุทิศให้กับเจ้าแม่เซิงหมู่ หน้าศาลามีสะพานที่งดงาม เรียกว่า สะพานบิน ซึ่งถ้ามองจากด้านหน้า ดูเหมือนว่าสะพานลอยอยู่ (จริงๆ)
ว่ากันว่าวัดนี้มีของดีอยู่ 3 อย่างที่ไม่ควรพลาด อย่างที่ 1 คือ น้ำพุอายุวัฒนะที่ดื่มแล้วไม่มีวันแก่ ตามประวัติบอกถึงความมหัศจรรย์ของน้ำพุนี้ว่า เป็นน้ำพุที่ไม่เคยแห้งแม้ว่าจะแล้งแค่ไหนก็ตาม แต่พวกเราก็ไม่ได้ลองดื่มกันเพราะห่วงชีวิตตัวเอง เนื่องจากมณฑลนี้น้ำใต้ดินมีระดับตะกั่วปนเปื้อนอยู่ในระดับที่สูงทีเดียว เพื่อความสะดวก ทางวัดยังขายน้ำพุเป็นขวดอีกต่างหาก...เอ๊ะ ไอเดียคุ้นๆ เหมือนน้ำมนต์เมืองไทยที่มีเกลื่อนตามวัดชื่อดัง
ของดีอย่างที่ 2 คือ หญิงชาววัง ไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริงแต่อย่างใด เป็นรูปปั้นสมัยราชวงศ์ซ่งที่มีสีสันสวยงาม หลากหลายอิริยาบถ บ้างก็เล่นเครื่องดนตรี ร่ายรำหรือโพสท์ท่าสวย จะว่าไปคนจีนสมัยก่อนก็มีภาพผู้หญิงในอุดมคติแบบเนื้อนมไข่เหมือนกัน เพราะรูปปั้นแต่ละตัวนี่อวบอึ๋มดีจริงๆ
ส่วนของดีอย่าง 3 คือ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อว่าปลูกขึ้นสมัยราชวงศ์โจว ยังมีอีกอย่างที่น่าจะนับเป็นของดีอย่างที่ 4 คือ มนุษย์ทองคำ (เหล็ก) ที่แสดงท่วงท่ารำมวยหลายตนด้วยกัน น่าจะนำไปแข่งกับอรหันต์ทองคำวัดเส้าหลินคงจะสนุกดี
นอกจากได้ขอพรแล้ว พวกเรายังได้มาเห็นชีวิตผู้คนแถวนี้ที่ส่วนมากมีอาชีพเกษตรกรรม พืชที่ปลูกส่วนมากจะเป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กที่ทนต่อสภาพแห้งแล้ง เพราะบริเวณนี้แห้งแล้งมาก และลมที่พัดแรงได้พัดเอาหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ไปจนทำให้ดินเป็นสีเหลือง จึงหาต้นไม้ยืนต้นสูงๆ ยาก ทำให้บ้านแถวนี้มีลักษณะเป็นถ้ำ โดยชาวบ้านจะเจาะเข้าไปในภูเขาแทนที่จะใช้ไม้สร้าง แถมยังบอกด้วยว่าหน้าหนาวแบบนี้ภายในนั้นอุ่นมาก ขณะที่หน้าร้อนก็เย็นสบาย ไม่ต้องพึ่งแอร์
ทะเลสาบอินเทรนด์ที่โฮ่วไห่
เราเดินทางต่อไปปักกิ่งโดยสายการบินไหหลำ ซึ่งใช้เวลาสั้นๆ แค่ 50 นาที แอบดีใจเล็กๆ ที่ได้มาเห็นความเจริญบ้าง แถมอากาศที่นี่ก็อุ่นกว่าที่ซานซี หิมะก็ไม่ตก เด็กๆ แค่ลบ 8 องศาเซลเซียสเท่านั้นเอง (แต่ข้างในไม่รู้แอบใส่เสื้อมากี่ชั้น) ได้ยินมาว่าช่วงปีหลังนี้อากาศอุ่นขึ้น หิมะตกน้อยลงมาก สาเหตุคงมาจากปรากฏการณ์โลกร้อนนั่นเอง ช่วยไม่ได้ที่ใช้พลังงานมากและก่อมลภาวะเยอะเอง จนลมพัดมลพิษเป็นเมฆสีแดงไปถึงอเมริกาให้ตื่นเต้นเล่น
กิตติศัพท์ของสถานที่เที่ยวกลางคืนของปักกิ่ง ทำให้วิญญาณนกฮูกเข้าสิงบรรดาสมาชิกทุกคน หากใครบอกว่ามาปักกิ่งต้องไปเที่ยวกลางคืนที่ย่านซานหลี่ถุน หรือที่รู้จักกันดีว่า ย่านสถานทูต ถึงจะอินเทรนด์ ก็ขอบอกเลยว่า สุดจะเอ้าท์
ตอนนี้เขาไปเที่ยวที่ทะเลสาบโฮ่วไห่กันแล้ว ใครที่เรียนมาทางด้านอสังหาริมทรัพย์อยากให้มาชมที่นี่มาก เมื่อก่อนนี้ที่นี่เป็นสวนสาธารณะเงียบๆ ด้านหลังวังต้องห้าม ติดกับย่านชุมชนเก่าหูท่ง แต่ตอนนี้ได้รับการพัฒนาให้เป็นที่เที่ยวยามราตรี ที่เรียงรายไปด้วยร้านขายของศิลปะเก๋ๆ ร้านอาหารหรูๆ และผับที่จัดได้
ฮิปมาก
ในการเดินชม สามารถเดินไปตามทางเดินข้างทะเลสาบ หรือถ้ากลัวเมื่อย จะนั่งรถเข็นชมย่านเมืองเก่าหูท่งก็ไม่ว่ากัน บ้านเรือนแถวนี้เป็นศิลปะแบบซื่อเหอย่วน คือ การสร้างอาคารล้อมรอบสี่ด้าน เว้นตรงกลางให้มีลานโล่งๆ เหมือนในหนังจีน ที่ขาดไม่ได้ คือ สิงโตหน้าบ้าน โดยส่วนมากบ้านเหล่านี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติไปแล้ว ซื้อขายไม่ได้ ที่เหลือๆ ไม่เข้าตากรรมการ ก็แค่ราคาหลังละ 30-40 ล้านบาทไทยเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าตอนนี้ขอตัวไปเดินเที่ยวต่อ ฉบับหน้าเราจะพาท่านไปสัมผัสความรู้สึกแข็ง (เป็นน้ำแข็ง) ที่ฮาร์บิน ว่าเป็นอย่างไร
เรื่องน่ารู้
มลภาวะในปักกิ่ง เกินมาตรฐานของ World Health Organization ถึง 5 เท่า ทำให้ต้องใช้งบประมาณในการช่วยลดมลภาวะ เพื่อเตรียมงานโอลิมปิค 2008 เป็นเงินถึง 17 billion US$ หรือเท่ากับ 578,000,000,000 บาท (ห้าแสนเจ็ดหมื่นแปดพันล้านบาท)
แสดงความคิดเห็น